ดอกลิลลี่เป็นดอกไม้ที่สวยงามและปลูกง่าย สามารถทำได้ทั้งปลูกในกระถางและปลูกลงดิน โดยวิธีการปลูกมีดังนี้

การปลูกในกระถาง

  1. เตรียมกระถางขนาด 4 นิ้วหรือใหญ่กว่าสำหรับลิลลี่ 1 หัว
  2. ใส่ดินร่วนผสมขุยมะพร้าว หรือวัสดุปลูกที่ดีขึ้นเช่นพีทมอส ผสมเวอร์มิคูไลท์(ถ้ามี)
  3. ขุดหลุมลึกประมาณ 5-7 ซม.โดยประมาณ ให้ลึกพอสำหรับฝังหัวลิลลี่ไว้ใต้ดิน
  4. วางหัวลิลลี่ให้รากชี้ลงที่ก้นหลุม แล้วใช้ดินกลบหัวไว้จนมิด
  5. รดน้ำให้ชุ่ม

การปลูกลงดิน

  1. เลือกพื้นที่ที่มีแสงแดดรำไร อากาศโปร่งสบาย
  2. เตรียมดินร่วนผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
  3. ขุดหลุมลึกประมาณ 5-7 ซม.โดยประมาณ ให้ลึกพอสำหรับฝังหัวลิลลี่ไว้ใต้ดิน
  4. วางหัวลิลลี่ให้รากชี้ลงที่ก้นหลุม แล้วใช้ดินกลบหัวไว้จนมิด
  5. รดน้ำให้ชุ่ม

การดูแล

  • รดน้ำให้ชุ่มสม่ำเสมอ ไม่ควรให้ดินแฉะหรือแห้งเกินไป
  • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ประมาณเดือนละครั้ง
  • ตัดใบและก้านที่เหี่ยวเฉาออก
  • ป้องกันศัตรูพืชและโรค เช่น เพลี้ยไฟ เพลี้ยแป้ง โรคราแป้ง โรคใบไหม้

เคล็ดลับการปลูก

  • ควรปลูกลิลลี่ในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว เพราะเป็นช่วงที่อากาศเย็นสบาย เหมาะกับการเจริญเติบโตของลิลลี่
  • หากปลูกลิลลี่ในกระถาง ควรเปลี่ยนกระถางทุกปี เพื่อป้องกันรากเน่า
  • หากปลูกลิลลี่ลงดิน ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเป็นประจำ เพื่อบำรุงต้นและดอก

การขยายพันธุ์

ดอกลิลลี่สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี ได้แก่

  • การแยกหัว สามารถทำได้เมื่อต้นลิลลี่มีอายุ 2-3 ปีขึ้นไป โดยแยกหัวที่งอกออกมาจากหัวหลัก
  • การเพาะเมล็ด สามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ดในวัสดุเพาะที่มีความชื้นสูง ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน เมล็ดจะงอกเป็นต้นกล้า
  • การแบ่งลำต้น สามารถทำได้เมื่อต้นลิลลี่มีอายุ 2-3 ปีขึ้นไป โดยตัดลำต้นที่งอกออกมาจากลำต้นหลัก นำไปปลูกในวัสดุเพาะที่มีความชื้นสูง ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ลำต้นจะแตกรากและเติบโตเป็นต้นใหม่

ปัญหาที่พบบ่อย

  • ใบเหลือง เกิดจากขาดน้ำหรือได้รับแสงแดดมากเกินไป
  • ดอกร่วงง่าย เกิดจากขาดน้ำหรือได้รับแสงแดดมากเกินไป
  • ต้นเน่า เกิดจากดินแฉะหรือโรครากเน่า
  • เพลี้ยไฟ เพลี้ยแป้ง โรคราแป้ง โรคใบไหม้ เกิดจากแมลงหรือโรคพืช

หากพบปัญหาเหล่านี้ ควรรีบแก้ไขโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ต้นลิลลี่เสียหายมากไป

อ่านต่อได้ที่ ประวัติดอกลิลลี่