ดอกลิลลี่เป็นดอกไม้ที่สวยงามและปลูกง่าย สามารถทำได้ทั้งปลูกในกระถางและปลูกลงดิน โดยวิธีการปลูกมีดังนี้
การปลูกในกระถาง
- เตรียมกระถางขนาด 4 นิ้วหรือใหญ่กว่าสำหรับลิลลี่ 1 หัว
- ใส่ดินร่วนผสมขุยมะพร้าว หรือวัสดุปลูกที่ดีขึ้นเช่นพีทมอส ผสมเวอร์มิคูไลท์(ถ้ามี)
- ขุดหลุมลึกประมาณ 5-7 ซม.โดยประมาณ ให้ลึกพอสำหรับฝังหัวลิลลี่ไว้ใต้ดิน
- วางหัวลิลลี่ให้รากชี้ลงที่ก้นหลุม แล้วใช้ดินกลบหัวไว้จนมิด
- รดน้ำให้ชุ่ม
การปลูกลงดิน
- เลือกพื้นที่ที่มีแสงแดดรำไร อากาศโปร่งสบาย
- เตรียมดินร่วนผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
- ขุดหลุมลึกประมาณ 5-7 ซม.โดยประมาณ ให้ลึกพอสำหรับฝังหัวลิลลี่ไว้ใต้ดิน
- วางหัวลิลลี่ให้รากชี้ลงที่ก้นหลุม แล้วใช้ดินกลบหัวไว้จนมิด
- รดน้ำให้ชุ่ม
การดูแล
- รดน้ำให้ชุ่มสม่ำเสมอ ไม่ควรให้ดินแฉะหรือแห้งเกินไป
- ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ประมาณเดือนละครั้ง
- ตัดใบและก้านที่เหี่ยวเฉาออก
- ป้องกันศัตรูพืชและโรค เช่น เพลี้ยไฟ เพลี้ยแป้ง โรคราแป้ง โรคใบไหม้
เคล็ดลับการปลูก
- ควรปลูกลิลลี่ในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว เพราะเป็นช่วงที่อากาศเย็นสบาย เหมาะกับการเจริญเติบโตของลิลลี่
- หากปลูกลิลลี่ในกระถาง ควรเปลี่ยนกระถางทุกปี เพื่อป้องกันรากเน่า
- หากปลูกลิลลี่ลงดิน ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเป็นประจำ เพื่อบำรุงต้นและดอก
การขยายพันธุ์
ดอกลิลลี่สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี ได้แก่
- การแยกหัว สามารถทำได้เมื่อต้นลิลลี่มีอายุ 2-3 ปีขึ้นไป โดยแยกหัวที่งอกออกมาจากหัวหลัก
- การเพาะเมล็ด สามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ดในวัสดุเพาะที่มีความชื้นสูง ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน เมล็ดจะงอกเป็นต้นกล้า
- การแบ่งลำต้น สามารถทำได้เมื่อต้นลิลลี่มีอายุ 2-3 ปีขึ้นไป โดยตัดลำต้นที่งอกออกมาจากลำต้นหลัก นำไปปลูกในวัสดุเพาะที่มีความชื้นสูง ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ลำต้นจะแตกรากและเติบโตเป็นต้นใหม่
ปัญหาที่พบบ่อย
- ใบเหลือง เกิดจากขาดน้ำหรือได้รับแสงแดดมากเกินไป
- ดอกร่วงง่าย เกิดจากขาดน้ำหรือได้รับแสงแดดมากเกินไป
- ต้นเน่า เกิดจากดินแฉะหรือโรครากเน่า
- เพลี้ยไฟ เพลี้ยแป้ง โรคราแป้ง โรคใบไหม้ เกิดจากแมลงหรือโรคพืช
หากพบปัญหาเหล่านี้ ควรรีบแก้ไขโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ต้นลิลลี่เสียหายมากไป
อ่านต่อได้ที่ ประวัติดอกลิลลี่